บทที่ 26 ผู้สูญเสียที่ต้องชดใช้ (25%)

ในขณะที่เจ้าของบ้านกำลังกินข้าวไปร้องไห้ไปไม่ต่างอะไรจากคนเสียสติ กลุ่มคนที่ซุ่มดูอยู่ด้านนอก โดยมองภาพในบ้านผ่านทางหน้าต่างก็ยังคงปักหลักอยู่ที่เดิม

“เราจะไม่เข้าไปตอนนี้เหรอครับ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืด

“ปล่อยให้เด็กนั่นได้ลิ้มรสกับอาหารมื้อนี้ก่อนเถอะ เพราะนี่อาจเป็นการกินข้าวคลุกน้ำตาที่อร่อยที่สุดในชีวิตของเธอก็ได้” น้ำเสียงกระด้างเปล่งออกมาจากริมฝีปากหยัก ก่อนที่เจ้าตัวจะเหยียดยิ้มร้าย

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูที่แว่วเข้าหูทำให้คนที่เพิ่งล้างจานเสร็จขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะสงสัยว่าใครจะมาเยือนบ้านของเธอในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ นิ่งไปสักพักเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาด ก่อนจะเดินไปปิดหน้าต่างที่เปิดรับลมทิ้งไว้ แล้วเตรียมจะเดินไปยังห้องนอน ทว่าเสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นอีกครา

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“ใครกันมาเวลานี้ เอ๊ะ…หรือว่าจะเป็นป้าเพ็ญ”

เสียงหวานพึมพำด้วยความสงสัย ก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้ จึงเดินไปฉวยไม้กล์อฟในห้องนอน แล้วเดินไปหยุดลงห่างจากประตูเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งเสียงถามออกไป

“ใครคะ ป้าเพ็ญหรือเปล่า”

ที่ถามออกไปแบบนั้นเพราะป้าเพ็ญที่อยู่บ้านข้างๆ มักจะมาเคาะประตูในเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนอยู่บ่อยครั้ง เพราะแกเป็นโรคนอนไม่หลับ และจะชอบมาขออะไรกินที่บ้านของเธอ คนในละแวกนี้ต่างรู้ดีว่าป้าเพ็ญสติไม่สมประกอบ และมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าป้าแกชอบไปเคาะประตูรบกวนในยามวิกาล แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยเปิดประตูต้อนรับ แถมยังขับไล่ด้วยความรำคาญระคนเอือมระอา แต่บูรณิมาไม่เคยไล่แกสักครั้ง เพราะนึกสงสารและเห็นใจคนแก่ที่ต้องทนทรมานกับชีวิตที่ขาดๆ เกินๆ เพียงลำพัง จึงมักหยิบยื่นไมตรีให้ทุกครั้ง

เมื่อไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ สาวเจ้าก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูออกไปดู เพราะจำได้ว่าระยะหลังๆ ป้าเพ็ญมักมาด้วยลักษณะนี้ คือเคาะประตูแล้วเงียบไม่พูดไม่จา บางครั้งก็เดินไปเดินมาอยู่แถวประตูเพื่อรอเธออยู่สักพัก

วินาทีที่ประตูแง้มออก กลับไม่พบผู้มาเยือนแม้แต่คนเดียว ทันใดนั้นเสียงหมาก็เริ่มหอนโหยหวนตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอย ทำเอาขนของเธอลุกพรึ่บไปทั้งสรรพางค์ ทว่าสติที่ยังพอหลงเหลืออยู่ทำให้สาวเจ้าแน่ใจว่าเมื่อครู่หูของเธอไม่ได้ฝาด เธอไม่ได้คิดไปเองว่ามีคนมาเคาะประตู แต่มีคนมาเคาะประตูจริงๆ หากไม่ใช่ป้าเพ็ญ

แล้วจะเป็นใคร!

ผีคงเคาะประตูไม่ได้หรอกมั้ง

แต่ใครล่ะ จะบุกมาหาเธอที่บ้านในยามวิกาลเช่นนี้

ลูกหนี้ของพ่องั้นเหรอ?

ไม่มั้ง ในเมื่อเธอจัดการทำเรื่องปล่อยคอนโดให้เช่า แล้วให้พวกเขายึดค่าเช่าไปแทนการใช้หนี้แล้ว

บูรณิมาสลัดความฟุ้งซ่านและความหวาดหวั่นออกไปจากหัว สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถือไม้กล์อฟในมือไว้มั่น ก่อนจะตัดสินใจเดินสำรวจรอบๆ ภายนอกตัวบ้านด้วยท่าทางระแวดระวัง ทุกย่างก้าวหัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำจนเหมือนจะกระเด็นออกมาจากอก ครั้นแน่ใจว่าไม่มีใคร เธอก็พ่นหายใจออกมา เดินกลับเข้าบ้าน ล็อกประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องนอน ทันใดนั้นไฟทั้งบ้านก็ดังพรึ่บลง

แย่แล้ว!

สัญชาตญาณร้องเตือนว่ามีผู้บุกรุก ร่างอวบอิ่มรีบก้าวพรวดไปยังเตียงท่ามกลางความมืด ก่อนจะหยิบปืนที่ซ่อนไว้ตรงช่องลับของหัวเตียง จากนั้นก็ควานหาไฟฉาย

แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดไฟฉาย ไฟในบ้านก็สว่างวาบขึ้น คล้ายใครบางคนกำลังเล่นเกมเขย่าขวัญสั่นประสาทให้เธอหวาดกลัว แน่นอนเธอแตกตื่น แต่ยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง จึงรีบทำการบรรจุกระสุนปืนมือไม้สั่น

ร่างอวบอิ่มละล้าละลังอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเดินถือปืนออกมาจากห้องนอน เพราะถ้าล็อกประตูขังตัวเองอยู่ในนั้นเธอไม่รอดแน่ ครั้นจะหนีไปทางหน้าต่างก็ไม่ได้ เพราะมีเหล็กดัด ฉะนั้นจึงตัดสินใจว่าจะต้องออกไปเผชิญหน้ากับผู้บุกรุก เดินหน้าเข้าใส่ ยังดีกว่าถูกไล่ต้อนให้จนมุมเหมือนหมาจนตรอก

ทันทีที่คนถือปืนเล็งไปทางซ้ายทางขวาก้าวมาถึงห้องรับแขก ก็ต้องเบิกตากว้าง หลุดอุทานเสียงหลง

“คุณ!”

“งายยยย…”

เจ้าของร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างที่นั่งกอดอกไขว่ห้างอยู่ตรงโซฟา โดยมีชายฉกรรจ์ท่าทางน่ากลัวยืนกุมมืออยู่ด้านหลังอีกห้าคน เอ่ยทักทายเจ้าของบ้านเสียงเย็นแต่แฝงยียวน

“คุณ…เข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง”

แขกไม่ได้รับเชิญไม่ตอบอะไร หนำซ้ำยังบุ้ยปากออกคำสั่งให้ลูกน้องสามคนเดินไปล้อมทางด้านหลังของเธอเอาไว้ เห็นท่าไม่ดีบูรณิมาก็เล็งปืนไปยังอีกฝ่าย จากนั้นก็เค้นเสียงแข็งๆ ใส่หน้าเขา

“ฉันถามว่าคุณเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง”

ยิ่งเขาทำเหมือนประวิงเวลาเธอยิ่งใจคอไม่ดี และเริ่มสติแตก

“เธอเปิดประตูต้อนรับฉันเอง จำไม่ได้หรือไงเด็กน้อย”

คนหน้านิ่งยักไหล่ คำตอบที่ได้รับทำให้บูรณิมานึกด่าทอตัวเองในใจ เป็นเธอเองที่โง่ ไม่เฉลียวใจ จนเปิดประตูเอาไว้ในจังหวะที่ไปสำรวจภายนอกบ้าน เขาคงฉวยโอกาสเข้ามาตอนนั้น เธอพลาดเพราะความสะเพร่า

บ้าเอ๊ย! เจ็บใจชะมัด

“ออกไปจากบ้านฉัน ไม่งั้นฉันยิงคุณแน่”

เจ้าบ้านขู่ฟ่อ แต่แทนที่จะกริ่งเกรงคนที่นั่งกอดอกอยู่กลับคลายอ้อมแขนออก แล้วขยับนั่งด้วยท่าทีสบายๆ จากนั้นก็เลิกคิ้วเข้มขึ้น ขณะจ้องมองปืนในมือของเธอไม่วางตา

“จุ๊ๆๆ ไม่คิดว่าเธอจะพกปืนด้วย อ้อ…ลืมไปว่าเหลือตัวคนเดียวแล้วนี่เนอะ”

วาจาแทงใจดำในท้ายประโยคทำให้คนที่มักจะก้มหน้างุดหลบตาเขาในทุกครั้งที่พบหน้า ถลึงตาใส่ด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับเค้นเสียงลอดไรฟันออกมา

“เหลือตัวคนเดียวฉันก็ยิงคุณได้”

“เก่ง…”

มุมปากหยักเหยียดยิ้มกวนประสาท พร้อมปรบมือเบาๆ ด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้

“ออกไปจากบ้านฉัน!”

“วางปืนลง แล้วไปกับฉันดีๆ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป